ปัญหาคือโอกาส "แจ็ค หม่า" พลิกชีวิต จากเด็กเรียนซ้ำชั้นอนุบาล 7 ปี สู่มหาเศรษฐีที่คนทั้งโลกยอมรับ!

คอมเมนต์:

ความพยายามไม่เคยทำร้ายใครค่ะ

        ชื่อของ “แจ็ค หม่า” (Jack Ma) โด่งดังไปทั่วทุกมุมโลก หลายคนรู้จักเขาในฐานะมหาเศรษฐี ผู้ก่อตั้งบริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่อย่าง “อาลีบาบา” ที่มีความโดดเด่นทั้งการทำธุรกิจ และเรื่องราวการใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความน่าสนใจ จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนทั่วโลก จึงอยากจะพาทุกคนย้อนไปดูกันว่า กว่าที่ชายคนนี้จะก้าวไปสู่ความสำเร็จ เขาผ่านอะไรมาบ้าง มีวิธีคิดอย่างไร ถึงสามารถชนะอุปสรรคต่างๆ มาได้

        แจ็ค หม่า มีชื่อจริงๆ ว่า “หม่า หยุน” เกิดเมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2507 ในครอบครัวที่ไม่ได้มีฐานะดีอะไรมากนัก ในเมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน ช่วงวัยเด็กของเขาอาจไม่ได้ราบรื่นนัก เพราะเรียนไม่เก่ง ต้องซ้ำชั้นอนุบาลถึง 7 ปี และมักจะถูกเพื่อนที่โรงเรียนล้ออยู่เสมอ ด้วยความที่เป็นเด็กตัวเล็กกว่าคนอื่น

 

Sponsored Ad

 

        แทนที่จะกลายเป็นเด็กเก็บตัว แจ็คหม่ากลับเลือกใช้เวลาทุกเช้าวันละ 40 นาที มุ่งมั่นไปกับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ โดยปั่นจักรยานไปยังโรงแรม เพื่อคุยกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และเสนอตัวเป็นไกด์นำเที่ยว ทำให้เขาได้ฝึกฝนภาษาอังกฤษทุก ๆ วันเป็นเวลาถึง 9 ปี จนชำนาญการใช้ภาษาอังกฤษตั้งแต่วัยเด็ก

        เขาก็ไม่ใช่คนเรียนเก่ง โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ จนทำให้พลาดการสอบเข้ามหาวิทยาลัยถึง 2 ครั้ง ก่อนที่สุดท้ายจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยครูหางโจวได้สำเร็จ

 

Sponsored Ad

 

        หลังจากเรียนจบ แจ็ค หม่า ก็ได้ตระเวนหางานทำเหมือนกับคนอื่น ๆ ทั่วไป ซึ่งช่วงแรกของการหางาน เขาเคยโดนปฏิเสธมามากกว่า 30 ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการโดนปฏิเสธจากร้าน KFC เคยสมัครเข้าเป็นตำรวจ จากผู้สมัครทั้งหมด 5 คน มีเขาคนเดียวที่ไม่ติด หรือแม้แต่เคยไปสมัครงานในโรงแรม พร้อมกับลูกพี่ลูกน้อง ซึ่งก็เป็นเขาอีกเหมือนเดิมที่ไม่ได้งาน แต่ลูกพี่ลูกน้องคนนั้นได้งานไป

        เรียกได้ว่าชีวิตของ แจ็ค หม่า ในช่วงเริ่มต้นเต็มไปด้วยอุปสรรคและความล้มเหลวจนชิน แต่ถึงแม้เขาจะถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่านับไม่ถ้วน ก็ไม่เคยทำให้เขาหมดหวังและยังคงพยายามหางานต่อไป โดยเขาเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “การถูกปฏิเสธซ้ำ ๆ เป็นเหมือนบทเรียนของมหาวิทยาลัยในชีวิตจริงก็เท่านั้นเอง”

 

Sponsored Ad

 

        สุดท้ายเขาก็ได้งานแรกเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยหางโจวเตี้ยนจื่อ โดยได้รับเงินเดือนเพียง 500 บาท เขาเป็นครูอยู่ 5 ปี ก่อนที่จะตัดสินใจลาออก แจ็ค หม่ามองเห็นโอกาสทางธุรกิจในอินเทอร์เน็ต แต่ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตไม่ค่อยมีอะไรเกี่ยวกับสินค้าจีนเลย ทั้งที่สินค้ามากมายที่ขายในอินเทอร์เน็ตล้วนผลิตจากจีนทั้งนั้น

 

Sponsored Ad

 

        เมื่อ แจ็ค หม่า กลับมาที่ประเทศจีน เขาจึงตัดสินใจลองทำธุรกิจเป็นครั้งแรก ด้วยการรวบรวมเงินจากกลุ่มเพื่อนมาได้ราว 6 แสนบาท ลงทุนร่วมกันเปิดเว็บไซต์ที่ชื่อว่า “China Yellow Pages” ขึ้นในเดือนเมษายน 2538 ที่มีคอนเซ็ปต์เป็นสมุดหน้าเหลืองออนไลน์ โดยการรวบรวมรายชื่อบริษัทและสินค้าต่าง ๆ ในจีน มาไว้ในเว็บไซต์

        การมาของ China Yellow Pages ได้รับผลตอบรับค่อนข้างดีในจีน เพราะเริ่มได้เพียง 3 ปี บริษัทก็ทำเงินได้กว่า 24 ล้านบาท โดยมีรัฐบาลเข้ามาเป็นหุ้นส่วนด้วย นับว่าเป็นจุดที่ทำให้หลายคนเริ่มมองเห็นแววการเป็นนักธุรกิจของเขาเลยก็ว่าได้ แต่สุดท้าย แจ็ค หม่า ก็ตัดสินใจเดินออกมาจากบริษัทที่เขาเป็นผู้ก่อตั้ง ด้วยการขายหุ้นทั้งหมดให้รัฐบาลจีน

 

Sponsored Ad

 

        ในปี 2542 แจ็ค หม่า ตัดสินใจใช้เงินทุน 2 ล้านบาท ก่อตั้งบริษัทอีคอมเมิร์ซที่ชื่อว่า “อาลีบาบา” (Alibaba) โดยนำชื่อมาจากนิทานเรื่องหนึ่ง เพื่อหวังให้เป็นเว็บไซต์ศูนย์กลางระหว่างผู้ผลิตและส่งออกสินค้าในจีนกับบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งช่วงเริ่มต้นของอาลีบาบา เต็มไปด้วยอุปสรรคต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องของเงินทุน เพราะไม่ว่าจะเป็นธนาคารหรือเหล่านักลงทุน ต่างไม่มีใครเชื่อว่าอีคอมเมิร์ซในจีนจะเกิดขึ้นได้จริง

 

Sponsored Ad

 

        แต่ด้วยความพยายามของ แจ็ค หม่า ทำให้ในปี 2543 อาลีบาบา ก็ได้รับเงินทุนจากต่างประเทศจำนวน 700 ล้านบาท จนเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญให้ธุรกิจเติบโตอย่างมาก เนื่องจากบริษัทได้นำเงินก้อนนี้ ไปพัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่มีประสิทธิภาพขึ้นมา โดยเน้นไปที่ลูกค้ากลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จนประสบความสำเร็จ และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

        ในขณะที่ อาลีบาบา เติบโตในตลาด B2B อย่างต่อเนื่อง อีกด้านหนึ่ง เว็บไซต์ที่ให้บริการแบบ B2C อย่าง “eBay” จากสหรัฐฯ ก็กำลังเข้ามารุกตลาดจีนเป็นอย่างมากเช่นกัน ทำให้ในปี 2546 เขาตัดสินใจเปิดตัว “Taobao.com” เว็บไซต์ขายของออนไลน์สัญชาติจีน ขึ้นมาแข่ง

Sponsored Ad

        แจ็ค หม่า เคยเปรียบไว้ว่า “eBay เป็นเหมือนฉลามในมหาสมุทร แต่ Taobao เป็นจระเข้แห่งแม่น้ำแยงซี ดังนั้นเราจึงได้เปรียบอยู่แล้ว ถ้าสู้ในบ้านของตัวเอง” และก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะแม้ในช่วงแรก ธุรกิจของ Taobao จะดำเนินไปอย่างราบเรียบ ไม่มีกำไร แต่หลังจากนั้นเพียง 3 ปี Taobao ก็พลิกโผขึ้นมาครองส่วนแบ่งตลาดเกินกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ eBay ที่เคยมีสัดส่วนผู้ใช้บริการมากถึง 70-80% ตัดสินใจยกธงขาวออกจากจีนในที่สุด เพราะไม่สามารถขยายฐานลูกค้าสู้ Taobao ได้ ซึ่งกลายเป็นผลงานชิ้นโบแดงที่ทำให้ชื่อของ แจ็ค หม่า เริ่มเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

        ปัจจุบันอาลีบาบา ได้ขยายธุรกิจไปมากมาย ไม่เพียงแต่ Taobao เท่านั้น เพราะยังมีระบบชำระเงินออนไลน์อย่าง AliPay ที่มีผู้ใช้กว่า 1 พันล้านบัญชี รวมถึง Tmall.com เว็บไซต์ช้อปปิ้งออนไลน์ที่จับกลุ่มลูกค้าชั้นกลาง ธุรกิจ Social Network อย่าง Weibo และ Youku Tudou ซึ่งเปรียบเสมือน Twitter และ Youtube ในจีน และธุรกิจอื่น ๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งให้บริการคลาวด์, โลจิสติกส์, สโมสรฟุตบอลกว่างโจว เอเวอร์แกรนด์ และสื่อสิ่งพิมพ์เซาท์ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ ของฮ่องกง

        หรือแม้แต่เว็บไซต์ขายของออนไลน์ชื่อดังอย่าง Lazada ก็โดนอาลีบาบาของเขาซื้อไปด้วยมูลค่ากว่า 3.5 หมื่นล้านบาท ทำให้ แจ็ค หม่า เป็นเจ้าของ Lazada ในทุกประเทศที่เปิดดำเนินการอยู่ ทั้งอินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, เวียดนาม และไทย เรียกได้ว่าวันนี้เขาทำให้อาลีบาบาโตอย่างมหาศาล เมื่อเทียบกับจุดเริ่มต้นที่ใช้เงินทุนเพียง 2 ล้านบาท

        นอกจากนี้ตอนนี้เขาจะกลายเป็นเจ้าของ KFC ในประเทศจีนไปซะแล้ว ด้วยการทุ่มเงิน 1.5 หมื่นล้านบาท ซื้อกิจการ Yum Brands บริษัทแม่ของ KFC และ Pizza Hut สาขาในจีน จนหลายคนต่างแซวกันว่านี่เป็นการล้างแค้นของแจ็ค หม่าแน่ๆ

        ชื่อเสียงของ แจ็ค หม่า เริ่มโด่งดังไปทั่วโลก หลังจากที่เขาได้นำอาลีบาบา หรือในชื่อหุ้น BABA เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น New York City ในเดือนกันยายน 2557 เพราะกลายเป็นการระดมทุนที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกในขณะนั้น ด้วยมูลค่ากว่า 7.8 แสนล้านบาท ทำให้ในปีเดียวกันนั้นเอง แจ็ค หม่า ขึ้นแท่นคนที่รวยที่สุดในจีนได้สำเร็จ ด้วยทรัพย์สินรวมกว่า 6 แสนล้านบาท

        จนกระทั่งในปี 2559 แจ็ค หม่า ก็มีทรัพย์สินเพิ่มไปแตะระดับ 1 ล้านล้านบาทได้สำเร็จ จนกลายเป็นคนที่รวยที่สุดของเอเชียในตอนนั้น และจากการจัดอันดับบุคคลที่รวยที่สุดในโลกของ Forbes ล่าสุดในปี 2561 แจ็ค หม่า ได้ติดอันดับที่ 20 ของโลก ด้วยมูลค่าทรัพย์สินที่มากถึง 1.3 ล้านล้านบาท ต้องบอกเลยว่าชายคนนี้รวยขึ้นทุกๆ ปีจริงๆ

        ไม่เพียงแค่ความสามารถในการสร้างธุรกิจให้ใหญ่โตเท่านั้น แต่ แจ็ค หม่า ยังเป็นที่ยอมรับในเรื่องของการแบ่งปันเพื่อสังคม โดยเขาเคยได้รับการจัดอันดับเป็นบุคคลที่ใจบุญที่สุดของจีน ประจำปี 2558 จากการที่เขาบริจาคหุ้นอาลีบาบา 2% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท ก่อตั้งกองทุนและมูลนิธิที่มีเป้าหมายแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการศึกษา และสุขภาพประชาชนจีน ฮ่องกง และประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกให้ดีขึ้น

        นอกจากนี้ ในทุก ๆ ปี แจ็ค หม่า จะนำกำไร 0.3% ของอาลีบาบา บริจาคเพื่อช่วยเหลือสิ่งแวดล้อม และเขายังช่วยเหลือการกุศลด้านอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งการสนับสนุนทุนการศึกษาแก่เด็กรุ่นใหม่ ช่วยพัฒนาระบบการศึกษาในพื้นที่ชนบทของจีน รวมถึงบริจาคเงินให้มหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลในบ้านเกิด

        ยิ่งไปกว่านั้น เขายังกลายเป็นนักธุรกิจจีนคนแรกในรอบ 50 ปี ที่มีโอกาสอวดโฉมหน้าบนปกนิตยสาร Forbes ประจำเดือนเมษายน 2554 รวมถึงถูกจัดอันดับอยู่ใน 30 บุคคลแรกที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ประจำปี 2559 อีกด้วย

        แจ็ค หม่า ในวัย 54 ปี ออกมาประกาศอย่างชัดเจนว่าเขาจะค่อย ๆ ลดบทบาทของตัวเองในการบริหาร Alibaba พร้อมเปิดทางให้คนรุ่นใหม่เข้ามาแสดงความสามารถมากขึ้น โดยเขาจะยังคงทำหน้าที่ประธานบริษัท Alibaba ต่อไปอีกเพียง 1 ปี จนถึงวันที่ 10 กันยายน 2562 เพื่อเปิดโอกาสให้ แดเนียล จาง (Daniel Zhang) ขึ้นมารับช่วงต่อ อย่างไรก็ดี แจ็ค หม่า จะยังคงนั่งในบอร์ดบริหารของ Alibaba เหมือนเดิม เพื่อกำหนดแนวทางในการดำเนินธุรกิจต่อไป

        หลังจากวางมือจากตำแหน่งประธานบริษัท แจ็ค หม่า มีแผนที่จะอุทิศเวลาให้กับมูลนิธิการกุศลที่เขาก่อตั้ง ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อปฏิรูประบบการศึกษาในประเทศจีน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท

.

        ใครจะไปคิดว่า จากเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่เริ่มจากศูนย์ เรียนก็ไม่เก่ง สมัครงานที่ไหนก็มักเจอแต่คำปฏิเสธ แต่ด้วยความพยายามที่ไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรค การมีครอบครัวที่ดีคอยหนุนหลัง ภรรยาที่เป็นส่วนสำคัญในการผลักดันเขาตั้งแต่วันที่ไม่มีอะไร จนประสบความสำเร็จ เป็นต้นแบบการใช้ชีวิตให้กับคนทั่วโลกได้อย่างทุกวันนี้

ข้อมูลและภาพจาก taibann

บทความที่คุณอาจสนใจ