ติดหนี้บัตรเครดิต 14 ใบ! "จินตนา เอกสุข" อดีตเศรษฐีนีในโลกโซเชียล สู่ชีวิตแม่ค้าผู้พอเพียง!

คอมเมนต์:

"คุณค่าแท้จริงของชีวิต นอกจากไม่เบียดเบียนผู้อื่นแล้ว ก็ต้องไม่เบียดเบียนตัวเองด้วย"

        ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกวันนี้มีคนเป็นหนี้นับล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วอาจมาจากกิเลสตัณหาของคุณ จริงหรือไม่? วันนี้เรามีเรื่องราวของคุณ “จินตนา เอกสุข” ที่เธอเป็นหนี้บัตรเครดิต 14 ใบ ซึ่งเกิดจากความอยากได้ของสวยๆ งามๆและของตามเทรนต่างๆ อีกมากมาย ตามประสาผู้หญิงทั่วไปนั่นเอง..

ภาพประกอบบทความ

 

Sponsored Ad

 

        โทรศัพท์รุ่นใหม่ ผลิตภัณฑ์หน้าใสเสริมความงาม กระเป๋ารองเท้าเสื้อผ้าตามแฟชั่น คือหลุมพรางที่สาวๆ ยุคใหม่หลายคนยินยอมพร้อมใจก้าวเข้าไปเป็นเหยื่อ แต่เมื่อเงินที่มีอยู่ไม่เพียงพอ "บัตรเครดิต" สารพัดเจ้าก็เลยกลายเป็นเพื่อนยามยากให้เราได้พึ่งพายามต้องการใช้เงินในอนาคต และ “จินตนา เอกสุข” เธอผู้นี้ก็คือหนึ่งในทาสของบัตรรูด

        สินค้าเสริมภาพลักษณ์ให้ดูดีจำนวนมากถูกซื้อด้วยบัตรเครดิต 14 ใบ ที่เซ็นชื่อ “จินตนา เอกสุข” มนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่ทุกเย็นหลังเลิกงานมีกิจวัตรคือการเดินช้อปปิ้งในห้างดัง และทานอาหารร้านหรูมีระดับ เธอบอกว่า เมื่อ 8 ปีก่อน เธอใช้เงินอย่างไร้สติมาก ทำบัตรเครดิตหลายสิบบริษัท ตามค่านิยมผิดๆ ที่เธอคิดไปเองว่า การได้ไปอยู่ในสังคมดีๆ กินอาหารแพงๆ ร้านหรูๆ ทำให้เธอดูดีขึ้นในกลุ่มเพื่อนฝูง

 

Sponsored Ad

 

        ชีวิตราวกับเศรษฐีนีในโลกความฝันของ “จินตนา” ดำเนินไปได้เกือบ 2 ปี กระทั่งเธอได้ตื่นขึ้นมาพบกับความจริงที่ว่า วงเงินจากบัตรเครดิต 14 ใบของเธอเต็มทุกใบ และเธอมีหนี้บัตรเครดิตรวมกว่า 3 แสนบาท ยังไม่นับรวมดอกเบี้ยอีกหลายเท่าตัว เมื่อคิดคำนวณดูแล้ว เดือนๆ หนึ่ง สาวออฟฟิศคนนี้ ต้องจ่ายหนี้เกือบๆ 3 หมื่นบาท

ภาพประกอบบทความ

 

Sponsored Ad

 

        รอยยิ้มเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความเครียด และความทุกข์ ของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีเงินเดือนเพียงหมื่นต้นๆ กำลังนั่งกุมขมับว่า จะหาเงินที่ไหนมาใช้หนี้ที่ถูกโทรจิกโทรทวงทุกวันถึงที่ทำงาน จนอายแทบแทรกแผ่นดินหนี แถมยังมีค่าผ่อนรถ ค่าห้อง ค่ากิน ค่าใช้จ่ายจิปาถะอีก

        แต่แล้ววันหนึ่ง “จินตนา” ก็ตัดสินใจกลับบ้าน เปิดตู้เสื้อผ้า กวาดเอาเสื้อผ้าหรูๆ รองเท้าราคาแพงๆ และกระเป๋าแบรนด์เนม ลงถุง ขนมาขายในตอนเย็นหลังเลิกงาน

ภาพประกอบบทความ

 

Sponsored Ad

 

        จากสาวออฟฟิศใช้ของไฮโซต้องเปลี่ยนเครื่องแบบพนักงานมาใส่เสื้อยืด กางเกงยีน คีบรองเท้าแตะ แปลงโฉมเป็นแม่ค้าในช่วงเย็น เธอยอมรับว่า ลำบากไม่ใช่น้อยกับการแบกถุงใบโต นั่งคุกเข่าขายของเป็นเวลานานจนเข่าด้าน ต้องคอยหลบหน้าคนรู้จักที่เดินผ่าน และยังต้องรีบตื่นมาถึงที่ทำงานให้เช้ากว่าใคร ๆ เพื่อจะได้ไม่มีใครเห็นเธอแบกถุงขนของมาขายมาซ่อนไว้ ตกเย็นก็ต้องกลับบ้านช้า เพื่อรอให้เพื่อนทยอยกลับไปให้หมดก่อน จึงจะกล้าขนถุงใบโตที่ซ่อนไว้ออกมา

        “เหนื่อยมันมี ท้อมันมี แต่เราจะไม่ตัดพ้อต่อโชคชะตา ไม่มานั่งคิดว่าทำไมเรื่องแบบนี้ ต้องเกิดกับฉัน แต่จะบอกตัวเองเสมอว่า แกทำตัวแกเอง จะไม่โทษอดีต คิดอย่างเดียวว่า เราจะผ่านจุดนี้ไปให้ได้ เราต้องรอดให้ได้ แล้วสิ่งนี้ก็จะเป็นบทพิสูจน์หัวใจเราเอง” จินตนา บอกกับตัวเองอย่างเข้าใจ

 

Sponsored Ad

 

ภาพประกอบบทความ

        อย่างไรก็ตาม “จินตนา” ก็เคยได้ยินได้ฟังคนนินทามาเข้าหูว่า เธออุตส่าห์เรียนจบถึงเมืองนอก ทำไมมานั่งขายของติดดินเช่นนี้ ดูไม่มีเกียรติเอาเสียเลย แต่ “จินตนา” ก็ทำได้แค่รับฟังไว้ ไม่ปล่อยให้คำพูดเหล่านั้นมาลดทอนคุณค่าในตัวเอง และใช้วิธี “การยอมรับความจริง” เมื่อยอมรับตัวเองได้ คำพูดคนอื่นก็ไม่สามารถทำร้ายจิตใจเธอได้อีกต่อไป

        “มีครั้งหนึ่งเคยถามเพื่อนข้างแผงว่า ไม่คิดทำงานประจำเหรอ มีสวัสดิการ มีประกันสังคม จะได้มั่นคง เขาก็บอกไม่เห็นต้องทำงานประจำเลย แค่จัดสรรการใช้จ่ายให้เป็นก็พอแล้ว อย่าลืมทำประกันชีวิตไว้ เจ็บป่วยก็เบิกได้ แล้ววิธีการเก็บเงินเขาจะมี 3 กล่อง กล่องแรกเป็นต้นทุนไว้หมุนต่อ กล่องที่สองเก็บไว้เป็นค่าใช้จ่ายประจำวัน กล่องสุดท้ายเก็บออม เนี่ย…เขาไม่ได้เรียนหนังสือเยอะนะ แต่เขาคิดได้มากกว่าคนปริญญา 2 ใบอย่างเราอีก” จินตนา เล่าอย่างทึ่ง ๆ

 

Sponsored Ad

 

        อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป 3 ปี “จินตนา” สามารถปลดปลดหนี้บัตรเครดิตไปได้เพียง 2-3 ใบเท่านั้น แต่ก็มีเพื่อนรุ่นพี่ในที่ทำงานคนหนึ่งมองเห็น และเข้ามาช่วยเหลือปิดบัตรเครดิตให้ แล้วให้เธอผ่อนส่งเขาแทน

        “เคยถามเขาตรง ๆ นะ ว่าทำไมถึงมาช่วยเรา เขาก็บอกว่า เห็นความพยายามของเราว่าเป็นคนทำมาหากิน ถ้าใช้หนี้เองก็ไม่รู้จะหมดเมื่อไหร่ เหมือนสวรรค์มีตาเลยนะ พอเราสู้เต็มที่จนถึงจุดจุดหนึ่ง ก็จะมีคนมองเห็น แล้วยื่นมือมาช่วยเราทั้ง ๆ ที่เรากับเขาก็ไม่ได้สนิทกันเลย” นี่คือสิ่งที่ทำให้จินตนาแปลกใจในช่วงนั้น

Sponsored Ad

ภาพประกอบบทความ

        แม้หนี้บัตรเครดิตจะหมดไป แต่ “จินตนา” ก็ยังคงไปขายของทุกเย็น และทุกเสาร์-อาทิตย์ เช่นเดิม เพื่อหาเงินมาชำระหนี้ให้พี่ที่ทำงาน สุดท้ายภายในเวลาเพียงอีกปีเศษ เธอก็หลุดพ้นจากหนี้สินทั้งหมด แต่ “จินตนา” ก็ยังคงขายของเก็บเงินไปเรื่อย ๆ กระทั่งมีเงินส่งตัวเองเรียนต่อปริญญาโทใบที่ 2 และจากนั้น เธอก็หยุดขายของ เพื่อทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างจริงจัง

        เมื่อเรียนจบ “จินตนา” ได้ย้ายไปเป็นผู้จัดการรีสอร์ทแห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรี ผู้จัดการรีสอร์ทอย่าง “จินตนา” ดำเนินชีวิตด้วยความเรียบง่าย ใส่เสื้อผ้าธรรมดา ขับรถมือสอง เธอมองว่า นี่เป็นคุณค่าที่แท้จริงแห่งชีวิตที่ควรภาคภูมิใจ

ภาพประกอบบทความ

        "ถ้าไม่เป็นหนี้ เราคงไม่คิดเรื่องพวกนี้ คงจะคิดแต่เรื่องตัวเอง ยึดมั่นถือมั่น ตัวตนสูง เช่น นี่ฉันผู้จัดการนะ แต่การเป็นหนี้ทำให้เรามองชีวิตในมุมใหม่ ที่สำคัญคือทำให้กลับมาดูแลเอาใจใส่พ่อแม่ เพราะเมื่อก่อนเงินเดือนเราไม่เคยถึงพ่อแม่เลย แต่ทุกวันนี้เราจะแบ่งเงินเดือนส่วนหนึ่งส่งไปให้พ่อแม่ว่างเมื่อไหร่ก็จะขับรถไปเยี่ยมไปดูแล" จินตนา บอกอย่างภูมิใจ

        "คุณค่าแท้จริงของชีวิต คือการอยู่ให้มีประโยชน์กับคนอื่น ไม่เบียดเบียนเขา แล้วก็ต้องไม่เบียดเบียนตัวเองด้วย"


ข้อมูลและภาพจาก ทีวีบูรพา

บทความที่คุณอาจสนใจ