แม่เลี้ยงเดี่ยวพาลูกลงแข่งมาราธอนกว่า 60 รายการ ท่ามกลางเสียงผู้คน ทั้งให้กำลังใจและไม่สนับสนุน

คอมเมนต์:

เธอเล่าว่า เพราะเด็กพิการมีชีวิตสั้นกว่าคนทั่วไป เธอจึงต้องเก็บความทรงจำที่ดีของลูกชายไว้ให้มากที่สุด..

        เมื่อปี 2014 ที่ผ่านมา มีภาพยนตร์แนวให้กำลังใจชื่อ The Finishers โดยได้เล่าถึงเรื่องราวของคุณพ่อคนหนึ่งที่พาลูกชายที่ป่วยเป็นโรคสมองพิการไปเข้าร่วมแข่งขันไตรกีฬา จากที่ลูกต่อต้านเข้าร่วมแข่งจนเริ่มสนใจ และสามารถเข้าถึงเส้นชัยได้ในที่สุด 

        เรื่องราวอันน่าประทับใจนี้เองทำให้คอภาพยนตร์ทั่วโลกต่างจดจำได้ สร้างแรงบันดาลใจแก่ผู้ที่กำลังท้อแท้สิ้นหวัง และดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริงขึ้นมา เมื่อคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวท่านนี้ชื่อ เฉินเจียหลิง พาลูกชายวัย 18 ปีเข้าร่วมการแข่งขันมาราธอน ในวันนี้พวกเขาได้เข้าร่วมแข่งขันมาแล้วทั่วประเทศ

 

Sponsored Ad

 

        สื่อผิงกั๋วรื่อเป้า ได้รายงานข่าวว่า เสี่ยวปี่ เคยเป็นเหมือนกับเด็กปกติทั่วไป แต่เมื่ออายุได้เพียงหกเดือนทุกอย่างก็เปลี่ยนไป หลังจากได้รับวัคซีนก็เกิดอาการผิดปกติขึ้นมาจนทำให้สมองเกิดพิการ ในตอนแรกตรวจพบมีอาการชักแบบ infantile spasm จากนั้นมีภาวะชักแบบควบคุมได้ยาก เมื่อฉายด้วยเอ็มอาร์ไอ แพทย์ได้แจ้งว่าเด็กจะพิการในระดับกลางไปจนถึงรุนแรงในอนาคต ไม่สามารถเดินและพูดคุยได้อย่างปกติ ภายหลังทั้งสองคนแยกทางกัน แม่จึงเป็นผู้รับลูกไปเลี้ยงด้วยตัวเอง

 

Sponsored Ad

 

        ถึงแม้ว่าเธอจะดูแลเป็นอย่างดี แต่ก็ยังมีปัญหาติดเชื้อที่ปอดและกระเพาะปัสสาวะเป็นประจำ พวกเขาต้องเข้าออกโรงพยาบาลเป็นประจำ เธอต้องรับงานพิเศษมาทำเพื่อหาเงินเลี้ยงดูและรักษา เธอทำงานทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นงานก่อสร้าง ผู้ช่วยครู พนักงานบริการ แต่รายได้ก็ไม่เพียงพอต่อรายจ่ายอยู่ดี เธอเคยเครียดจนถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้า เธอเล่าว่า “ในตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยมาก ลูกต้องรักษาตัวอยู่ในห้อง ICU ตลอด ฉันจึงกินยานอนหลับไปร้อยกว่าเม็ดเพื่อฆ่าตัวตาย” แต่นั่นยังไม่สามารถจบชีวิตเธอได้ เมื่อฟื้นขึ้นมาเธอก็ยังต้องอยู่ดูแลลูกชายต่อไป เธอร้องไห้จนไม่มีน้ำตาไหลออกมา เมื่อมองหน้าลูกเธอก็คิดว่าได้เวลาแล้วที่จะต้องเปลี่ยนตัวเองเสียใหม่

 

Sponsored Ad

 

        เดิมทีเธอไม่ได้เป็นสายออกกำลังกาย แต่เมื่อปี 2017 มีเพื่อนชวนเธอไปร่วมแข่งขันวิ่งระยะสั้นเพื่อการกุศลที่ไทจง จากนั้นเรื่องราวของเธอก็คล้ายกับในภาพยนตร์ ในวันแรกที่แข่งขันเธอเกือบต้องล้มเลิกกลางคัน เพราะไม่มีใครอยู่ช่วยดูแลลูกชาย จนเธอตัดสินใจพาลูกชายมาร่วมแข่งขันด้วย ถึงแม้ว่ารถเข็นจะไม่เหมาะสำหรับการวิ่งก็ตาม เมื่อเข็นรถเข็นไปได้ระยะทาง 2-3 กิโลเมตร เธอก็เริ่มหมดแรง และลูกชายก็เริ่มร้องไห้เสียงดังเพราะแรงสั่นสะเทือนของการวิ่งมาตลอดทาง เธอจึงต้องรีบเข็นให้เร็วขึ้นเพื่อให้จบการแข่งขันให้เร็วที่สุด เธอไม่มีแรงจะไปกล่อมลูกอีก จึงได้แต่เข็นไปด้วยและฟังเสียงร้องไห้ไปด้วย จนเริ่มเหนื่อยและนอนหลับไปเอง เมื่อตื่นขึ้นมาลูกชายก็เริ่มร้องไห้อีก เป็นอย่างนี้จนกระทั่งทั้งคู่ได้วิ่งเข้าเส้นชัยได้สำเร็จ

 

Sponsored Ad

 

        ถึงแม้ว่าการวิ่งในครั้งแรกจะไม่ค่อยราบรื่น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอล้มเลิกความตั้งใจ เมื่อถึงการแข่งขันมาราธอนครั้งที่สอง คราวนี้มีระยะทางเพียง 3 กิโลเมตร แถมมีลมพัดตามทางอีกด้วย ดูเหมือนจะวิ่งสบาย และยังทำให้ลูกชายอารมณ์ดีได้อีกด้วย ในระหว่างทางลูกชายยกมือไปมา และยิ้มแย้มไปตลอดทาง เธอเล่าว่า “น่าจะเป็นเพราะว่าเขาไม่สามารถเดินได้ เลยไม่มีโอกาสเคยสัมผัสลมพัดแบบนี้ ฉันจึงอยากพาเขามาร่วมแข่งขันที่นี่ แค่เขามีความสุขฉันก็พอใจแล้ว” แถมยังมีผู้คนคอยส่งเสียงให้กำลังใจไปตลอดทาง ด้วยเหตุนี้เขาจึงอารมณ์ดีกับการได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน และเปลี่ยนใจเป็นชอบการวิ่งไปเลย บางครั้งเขารอคอยจะได้ไปวิ่งทั้งคืนจนไม่นอนหลับ เพราะกลัวว่าแม่จะทอดทิ้งเขาและแอบไปวิ่งคนเดียว

 

Sponsored Ad

 


        ในปี 2018 พวกเขาได้เข้าร่วมวิ่งมาราธอนไปแล้วกว่า 50 รายการ หรือเกือบทุกสัปดาห์เลยทีเดียว การวิ่งทำให้ลูกชายมีความสุข เธอเล่าว่า “เวลาที่วิ่งอยู่ คุณจะลืมความเครียดไปได้ชั่วขณะ และจดจ่ออยู่กับตัวเองอย่างเดียว ทำให้คุณมีสุขภาพจิตที่แข็งแรงขึ้นด้วย” 

        และนอกจากนี้ยังมีหลายคนที่ออกมาต่อต้าน เพราะคิดว่าคนพิการควรอยู่บ้านอย่างเดียวน่าจะเหมาะสมกว่า ซึ่งเธอตอบว่าก่อนวิ่งทุกครั้งเธอได้ปรึกษาแพทย์ประจำตัวของลูกชายเรียบร้อยแล้ว แถมการวิ่งยังทำให้ลูกชายสุขภาพแข็งแรงขึ้น จากที่เคยต้องเข้าห้อง ICU ทุกเดือน กลายเป็นไม่ต้องเข้าอีกเลย

 

Sponsored Ad

 

        ถึงแม้ว่าการตัดสินใจของสองแม่ลูกจะมีทำให้มีทั้งผู้คนที่ให้คอยกำลังใจและต่อต้าน แต่ฝ่ายที่สนับสนุนและให้กำลังใจก็มีมากกว่า และการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นของลูกชาย ยังทำให้พ่อแม่คนอื่นตัดสินใจพาลูกออกมาร่วมแข่งขันด้วยเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าในสายตาใครบางคน อาจดูน่าสงสารมากกว่าเป็นเรื่องดีก็ตาม เธอพูดว่า “น่าเสียดาย อันที่จริงเด็กพิการทุกคนมักมีอายุขัยไม่นาน ส่วนใหญ่มักเสียชีวิตลงช่วงวัย 20 กว่าปีเท่านั้น เราไม่มีวันรู้เลยว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ได้เจอกันหรือเปล่า” เธอบอกว่าควรรีบทำสิ่งที่อยากทำก่อนจะสายเกินไป ไม่ว่าจะเดินทางท่องเที่ยว ปีนเขา หรือไปทะเล เพื่อให้เด็กเกิดความทรงจำในช่วงเวลาที่ดีให้มากที่สุด เธอวางแผนที่จะพาลูกชายไปปีนเขาเหอหวนซันในช่วงปลายปีนี้ และยังมีโครงการอีกมากมายรออยู่ สามารถติดตามได้ที่แฟนเพจของเธอและลูกชาย 

        “คนที่ยิ้มได้อย่างเบิกบานจะไม่มีใครรู้เลยว่าเขากำลังเสียใจอยู่ และเพราะความเจ็บปวดนี่เอง จึงทำให้ต้องยิ้มให้มากกว่าที่เคย เพื่อปลอบใจตัวเองให้ก้าวเดินต่อไป”

แปลและเรียบเรียงโดย LIEKR

บทความแนะนำ More +

บทความที่คุณอาจสนใจ