พนักงานทำงานกับร้านมา 44 ปี ถูกให้ออก หลังโดนจับได้ว่า รับเงินสดของลูกค้า

คอมเมนต์:

แต่ชาวเน็ตกลับเรียกร้องให้รับพนักงานคนดังกล่าวกลับเข้าไปทำงานอีกครั้ง!

        ต้องบอกเลยว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดนั้นทำให้หลาย ๆ ประเทศมีมาตรการออกมารับมือกันหลายรูปแบบ ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจหลาย ๆ แห่งต่างก็ออกมาตรการไม่รับเงินสด เนื่องจากป้องกันการแพร่ระบาดที่ปนเปื้อนมากับเหรียญหรือธนบัตร ซึ่งบอกเลยว่ามาตรการนี้ทำให้ลูกค้าที่ไม่มีบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตไม่สามารถซื้อหรืออุดหนุนสินค้าได้

        เว็บไซต์ต่างประเทศรายงานว่า พนักงานร้านเบเกอรี่วัย 60 ปีรับไม่ได้กับมาตรการดังกล่าว เนื่องจากเขาทนเห็นไม่ได้ที่ลูกค้าผู้สูงอายุจำนวนมากต้องเดินออกจากร้านมือเปล่าเพียงเพราะเขาไม่มีบัตรเครดิตหรือเดบิตเพื่อซื้อสินค้าในร้านได้ 

 

Sponsored Ad

 

        และเมื่อเห็นเหตุการณ์แบบนี้เข้าบ่อย ๆ พนักงานวัย 60 ปีจึงตัดสินใจรับเงินสดจากลูกค้าและใช้บัตรเครดิตของตัวเองจ่ายสินค้าแทน แต่เธอไม่คิดว่าความหวังดีของเธอจะกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เธอถูกไล่ออกทั้งที่เธอทำงานอยู่ที่ร้านเบเกอรี่แห่งนี้มานานกว่า 44 ปี

        โดยเหตุการณ์วันดังกล่าว เธอรับเงินสดจากลูกค้ามา 180 ปอนด์ หรือราว 8,100 บาท เธอนำเงินจำนวนดังกล่าวใส่กระเป๋าสตางค์ของเธอและใช้บัตรเครดิตของตัวเองจ่ายค่าสินค้าให้กับลูกค้า

 

Sponsored Ad

 

        ซึ่งหลังจากที่ร้านรู้ว่าเธอทำแบบนั้นก็ได้มีการสั่งพักงานเป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ ก่อนจะทำการสอบสวนวินัยและตัดสินใจไล่เธอออกจากงานในที่สุด โดยทางร้านชี้ว่า ทางร้านเองก็เสียใจที่ต้องไล่พนักงานที่อยู่กับร้านมานานอย่างเธอออก แต่ร้านให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของลูกค้าและพนักงานอย่างจริงจัง เนื่องจากลูกค้าส่วนมากเป็นคนสูงวัยที่มีความเสี่ยงสูง ทางร้านจึงขอให้ลูกค้าจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตเพราะเหรียญหรือธนบัตรไม่สะอาดและอาจทำให้พนักงานของทางร้านเกิดความเสี่ยงไปด้วย

 

Sponsored Ad

 

        รายงานระบุเพิ่มเติมว่า พนักงานคนดังกล่าวเองก็รู้สึกอารมณ์เสียไม่น้อยหลังจากที่อยู่ ๆ ก็ถูกไล่ออก เพราะเธอรู้ดีว่าสิ่งที่ทำไปนั้นขัดต่อนโยบายของผู้บริการ แต่การที่ลูกค้าจำนวนมากไม่สามารถซื้อสินค้าของทางร้านได้ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเองก็มีเงิน แต่แค่ไม่มีบัตรเดรดิตหรือบัตรเดบิต แล้วเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นบ่อยครั้ง ขนมของทางร้านก็ขายไม่หมดและต้องโยนทิ้งไป

        ซึ่งหลังจากที่ประเด็นดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ออกไปก็มีชาวเน็ตจำนวนไม่น้อยต่างออกมาร้องขอให้รับตัวพนักงานคนดังกล่าวกลับเข้าไปทำงาน

ที่มา : unilad

บทความที่คุณอาจสนใจ