เผยโฉม "เจ้าจอมแส" บุตรตรีเจ้าพระยา เป็นเจ้าจอมคนสุดท้ายใน "รัชกาลที่ 5"
คอมเมนต์:
ล่าสุด ได้มีการเผยโฉม เจ้าจอมแส เจ้าจอมคนสุดท้ายในรัชกาลที่ 5 ลงสื่อโซเชียล พร้อมเผยประวัติคร่าวๆ ให้ชาวไทยได้รับรู้...
โดยทางผู้ใช้ไอจี t_2539 ได้เผยว่า เจ้าจอมคุณสุดท้ายในรัชกาลที่๕ เจ้าจอมแส เป็นบาทบริจาริกาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดที่จังหวัดเพชรบุรี เป็นธิดาของเจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์ (เทศ บุนนาค) สมุหเทศาภิบาลมณฑลราชบุรี ที่เกิดแต่หม่อมทรัพย์ ชาวลาวโซ่ง ต่อมาได้เข้ามาพำนักในพระราชวังดุสิตกับเจ้าจอมเอิบ ในรัชกาลที่ 5 ผู้เป็นพี่สาวต่างมารดา หนึ่งในเจ้าจอมก๊กออ ในหนังสือ "เจ้าจอมก๊กออ" ดร. กัณฑาทิพย์ สิงหะเนติ เล่าเรื่องเจ้าจอมแส ในหน้า ๓๔๙ ไว้ว่า "เจ้าจอมแสได้มาอยู่กับเจ้าจอมเอิบที่สวนพุดตาลตั้งแต่ยังสาวรุ่น
Sponsored Ad
เจ้าจอมแส
ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ผู้เขียนฟังถึงสาเหตุที่เจ้าจอมแสจะได้เป็นเจ้าจอมว่า วันหนึ่งเจ้าจอมแสนั่งอาบนำ้อยู่ในคลองหน้าตำหนักของเจ้าจอมเอิบ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จผ่านมาเห็นเจ้าจอมแสนั่งสระผมอยู่ก็แอบทอดพระเนตร
Sponsored Ad
เมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จเข้าข้างในตำหนักได้ทรงขอเจ้าจอมแสจากเจ้าจอมเอิบ ภายหลังจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม เจ้าจอมแสจึงได้ย้ายออกมาพำนักอยู่นอกพระราชวังดุสิต กระทั่งถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2521 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยเป็นหนึ่งในเจ้าจอมที่อายุยืนยาว
จากโพสต์ต้นฉบับ
Sponsored Ad
ข้อมูลเพิ่มเติม จาก เว็บไซต์ campus-star ได้ระบุเอาไว้ว่า ...
เจ้าจอมสดับ หรือ เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์ (Chao Chom Mom Ratchawong Sadap Ladawan) เป็นเจ้าจอมคนรองสุดท้าย ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (เจ้าจอมคนสุดท้ายคือ เจ้าจอมแส บุนนาค) นอกจากนั้นท่านยังเป็นคนสุดท้ายที่ได้ร้องเพลง “นางร้องไห้” และเป็นเจ้าจอมคนสุดท้ายของราชวงศ์จักรี ที่ยังดำรงชีพและถึงแก่อนิจกรรมในรัชกาลที่ 9 โดยท่านถึงแก่อนิจกรรม เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2526 อายุรวม 93 ปี
Sponsored Ad
สนมเอก – เจ้าจอมคนรองสุดท้าย ร.5
ในวัยเยาว์ เข้าวัง
เมื่อท่านมีอายุได้ 11 ปี หม่อมยายได้พาท่านไปถวายตัวเป็นข้าหลวง ในตำหนักพระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา ซึ่งพระองค์ได้ทรงอบรมเลี้ยงดูหม่อมราชวงศ์สดับในฐานะพระญาติ และยังโปรดให้เรียนหนังสือทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ รวมทั้งหัดงานฝีมือ ตลอดจนการอาหารคาวหวานจนเชี่ยวชาญ นอกจากความอัจฉริยภาพและความงามแล้ว ความมีเสียงอันไพเราะของท่าน ยังเป็นคุณสมบัติที่โดดเด่นด้วย ดังใน บทพระราชนิพนธ์เงาะป่า ว่า
Sponsored Ad
“แม่เสียงเพราะเอย น้ำเสียงเจ้าเสนาะ เหมือนดังใจพี่จะขาด เจ้าร้องลำนำ ยิ่งซ้ำพิสวาท พี่ไม่วายหมายมาด รักเจ้าเสียงเพราะเอย”
ภาพซ้าย : ถ่ายเมื่อวันเชิญดอกไม้ธูปเทียนแพขึ้นถวายตัว เป็นข้าใต้เบื้องพระยุคลบาท เมื่อปลายปี พ.ศ. 2449
Sponsored Ad
ภาพขวา : เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ในรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้แต่งเครื่องเพชรชุดหนึ่ง ที่พระราชทาน แล้วให้ช่างถ่ายรูปไว้ เมื่อ พ.ศ. 2450
ถวายตัวเป็นเจ้าจอม ตอนท่านอายุ 16 ปี
เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2449 หม่อมราชวงศ์สดับได้เข้าปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าจอม ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) ซึ่งวันนี้ท่านได้รับพระราชทาน “กำไลมาศ” จาก ร.5 ซึ่งเป็นกำไลทองคำแท้จากบางสะพาน หนักสี่บาท ทำเป็นรูปตาปูโบราณสองดอกไขว้กัน ปลายตาปูเป็นดอกเดียวกัน
ครั้นเมื่อท่านมีอายุได้ 20 ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต ท่านมีความทุกข์ และเศร้าโศกอย่างยิ่ง ท่านได้กล่าวไว้ว่า
“..ใจคิดจะเสียสละได้ทุกอย่าง จะอวัยวะหรือเลือดเนื้อ หรือชีวิตถ้าเสด็จกลับคืนมาได้ ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นใจที่คิดแน่วแน่ว่าตายแทนได้ไม่ใช่แค่พูดเพราะๆ …คุณจอมเชื้อเอาผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งมาให้ข้าพเจ้า บอกว่าท่านได้ประทานไว้ซับพระบาท ข้าพเจ้าจึงเอาผ้าที่ซับพระบาทนั้นแล้วพันมวยผมไว้ แล้วก็นั่งร้องไห้กันต่อไปอีก…”
ครั้งสุดท้ายที่เจ้าจอมสดับได้มีโอกาสสนองพระเดชพระคุณ ร.5 คือ การเป็นต้นเสียงนางร้องไห้หน้าพระบรมศพ
ภาพซ้าย : พระราชทานเกียรติให้นั่งพระเก้าอี้ทองตราแผ่นดิน ซึ่งเป็นพระเก้าอี้สำหรับพระมเหสีเทวี และพระบรมราชวงศ์ชั้นเจ้าฟ้า ประทับเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในการพระราชพิธี (ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ถ่ายเมื่อ พ.ศ. 2450)
ภาพขวา : เจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ถ่ายไว้เมื่ออายุ 17 ปีบริบูรณ์
กำไลมาศ (กำไลทอง)
กำไลมาศของเจ้าจอมสดับ เป็นวัตถุพยานแห่งความรัก ความเมตตา อย่างหาที่สุดมิได้ของพระมหากษัตริย์ที่มีต่อสตรีสามัญ
กำไลนี้ นอกจากเป็นของพระราชทาน และมีบทกลอนพระราชนิพนธ์บนกำไลแล้ว ยังมีความพิเศษอีกก็คือ ตัวกำไลทองนั้น ถ้ามองตรงๆ เป็นอักษร S (มาจากชื่อย่อของเจ้าจอมสดับ) หากพลิกข้อมือเพียงเล็กน้อยมองอีกด้านจะกลับเป็นตัวอักษร c (จุฬาลงกรณ์)
หลังจาก ร.5 เสด็จสวรรคตได้ไม่นาน เจ้าจอมสดับท่านได้ถวายคืนเครื่องเพชรทั้งหลาย เหลือแต่เพียงกำไลมาศ ซึ่งเจ้าจอมสดับได้สวมติดข้อมือ ตั้งแต่วันแรกที่ ร.5 ท่านทรงสวมให้ด้วยพระองค์เอง สวมไว้จนกระทั่งถึงวันอนิจกรรมเป็นเวลา 77 ปี โดยทายาทได้ถวายกำไลมาศ แด่พระบาทสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้เก็บไว้ที่พระที่นั่งวิมานเมฆ ณ สถานที่คุณจอมสดับได้เคยถวายการรับใช้เบื้องพระยุคลบาท
ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานกระแสพระราชดำรัสปราศรัย กับเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ในวันเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดราชโอรสาราม เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2516
เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ (ฝ่ายใน) ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2521
ความหมายในอักษรย่อ
S คือ สดับ
B คือ ภูมินทรภัคดี
C คือ จุฬาลงกรณ์
ต้นตำรับต่างๆ
เจ้าจอม ม.ร.ว. สดับ เจ้าของตำรับน้ำพริกลงเรือ
ต้นตำรับ ยาดมส้มโอมือ
ยาดมส้มโอมือตำรับเจ้าจอม มรว.สดับ ในรัชกาลที่ 5
ข้อมูลและภาพ จาก t_2539