ชีวิตล้มลาย จากเศรษฐีชีวิตดี เหลือเงินติดตัว 20 บาท พลิกชีวิต ขายส้มตำ ส่งลูกเรียนจนได้เป็นแอร์

คอมเมนต์:

ชีวิตล้มลาย จากเศรษฐีชีวิตดี เหลือเงินติดตัว 20 บาท พลิกชีวิต ขายส้มตำ ส่งลูกเรียนจนได้เป็นแอร์

    ในวันนี้เราก็จะนำอีกหนึ่งแรงบันดาลใจมาฝากให้กับทุกคนหากใครที่กำลังท้อแท้ในการใช้ชีวิตหรือหมดหวังในเรื่องของทางด้านการเงินและธุรกิจ เราก็ขอเอาประสบการณ์จากคนที่เคยเป็นเศรษฐีนีที่มีชีวิตสุขสบายมาก่อน แต่สุดท้ายก็ต้องล้มละลายจนมีเงินติดตัวอยู่แค่เพียงแค่ 20 บาท 

    แต่เธอก็ฝ่าฟันอุปสรรคและไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาของตัวเองสามารถพลิกชีวิตให้กลับมาสามารถส่งเสียลูกทุกคนเรียนหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆได้เป็นที่สำเร็จซึ่งเรื่องราวของเธอนั้นจะเป็นอย่างไรเรามาเชิญรับชมกันได้เลย

 

Sponsored Ad

 

    ซึ่งถ้าหากใครได้เคยไปตลาดนัดวังมุก บางแสน ทุกคนก็จะต้องรุ้จักกับร้านส้มตำชื่อดังของเจ๊กรรณอย่างแน่นอน ซึ่งบอกเลยว่าร้านนี้เปิดเพียงแค่ไม่กี่นาทีก็มีลูกค้าเข้าเต็มร้านอยู่เสมอเพราะเจ้าของร้านนั้นยิ้มต้อนรับลูกค้าทุกคนอย่างอบอุ่นอีกทั้งยังมีเครื่องปรุงชั้นเลิศ ซึ่งบอกเลยว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ได้เธอต้องผ่านเรื่องราวโหดร้ายมานับต่อนับครั้งจนคิดอยากจะฆ่าตัวตายก็มี

 

Sponsored Ad

 

    ย้อนไปเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วเจ๊กรรณ เคยประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจเพาะเลี้ยงกุ้ง ซึ่งถือว่ามีฐานะค่อนข้างดี มีบ้านที่สวยงามมูลค่าหลักหลายล้านบาทมองเห็นทะเลได้ระดับซีวิว และลูกสาวทั้งสองก็เรียนโรงเรียนระดับนานาชาติที่มีค่าเทอมประมาณ 2 แสนกว่าบาท เลยทีเดีนส แต่สุดท้ายโชคชะตาก็เล่นตลก ด้วยความที่ เจ๊กรรณเป็นคนใจกว้างและไม่ค่อยทันคนจึงมีผู้ไม่ประสงค์ดีเข้ามาฉวยโอกาสและเอาเปรียบจึงทำให้ธุรกิจการเพาะเลี้ยงกุ้งจะต้องยุติลงพร้อมกับหนี้สินก้อนโตตามมา

    โดยเจ๊กรรณได้กล่าวว่า “ในตอนนั้นมีทรัพย์สินอะไรก็จะต้องขายทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นสร้อยทองแหวนเครื่องประดับตอนนั้นเอามากองรวมรวมแล้วก็เอามาขายเพื่อนเราสังคมเราที่เคยมีก็หายไปเพราะกลัวว่าจะยืมเงิน” ซึ่งนั่นก็ทำให้เราได้เห็นถึงจิตใจของมนุษย์แต่สุดท้ายด้วยความที่ยังมีลูก 2 คนก็ต้องสู้ต่อไปโดยลูกสาวทั้งสองจะต้องไล่ออกจากโรงเรียนนานาชาติ

 

Sponsored Ad

 

    “ตอนนั้นเราจะหนีหนี้ก็ได้ แต่เราไม่หนี เราไม่อยากให้คนอื่นมองครอบครัวเราไม่ดี เราจะทำยังไงก็ได้ แต่ลูกเราต้องไม่อาย ไม่ขายหน้าคนอื่น” เจ๊กรรณกล่าวพร้อมกุมมือลูกสาวทั้งสอง ในตอนนั้นเจ๊กรรณเหลือเงินติดตัวเพียงแค่ 20 บาท เหลือพอแค่ซื้อข้าวสวยกับไข่ไก่ 2 ฟอง เจ๊กรรณบอกว่า ตนเองต้องกินข้าวทั้งน้ำตา ถึงขนาดเคยคิดที่จะฆ่าตัวตายเลยก็มี

 

Sponsored Ad

 

    แต่หลังจากนั้นมาก็ทำให้คือตู้เพราะไม่คิดว่าจะมีอะไรจะเสียอีกต่อไป โดยให้ลูกทั้งสองมาเรียนอยู่ในโรงเรียนรัฐบาลเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย และก็เริ่มค้าขายโดยหันมาขายข้าวต้มปลาอินทรีย์เครื่องขายดีเป็นเทน้ำเทท่าโดยใช้หลักการที่ว่าวัตถุดิบมีคุณภาพจำหน่ายในราคากันเอง

    แต่พอทำไปนานๆเมื่อลองคิดต้นทุนกับรายได้แล้วก็รู้สึกว่าไม่คุ้มค่าจึงหาช่องทางอื่น แต่ของที่ขายก็ต้องเป็นของที่มีคุณภาพดีและให้เพียงพอต่อความต้องการไม่ลดคุณภาพของอาหารอย่างเด็ดขาด ธุรกิจต่อมาคือการขายปอเปี๊ยะทอดซึ่งเจ๊ก็ได้สูตรมาจากเชฟข้างหนึ่งระหว่างที่ไปทำบุญที่วัดโดยที่ร้านจะเน้นทำกันแบบสดๆไม่ทำเตรียมไว้ค้างคืนโดยมีลูกสาวทั้งสองค่อยเป็นลูกมือให้แน่นอนขายดีเทน้ำเทท่าเช่นกัน

 

Sponsored Ad

 

    โดยเจ๊กรรณ จะมีการเก็บเงินอย่างเป็นสัดส่วนด้วยเก็บเงินใส่กระปุกแยกค่าใช้จ่ายไว้ให้อย่างชัดเจน เช่น ค่าใช้จ่ายของลูก ค่าใช้จ่ายจำเป็น จึงทำให้เจ๊การมีเงินหมุนเวียนค่าใช้จ่ายได้ดีมากยิ่งขึ้น 

 

Sponsored Ad

 

    อีกทั้งเป็นช่วงที่ลูกสาวคนโตจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยและเห็นว่าลูกๆคนมีเวลาไปใส่ใจกับการเรียนมากกว่าจึงได้เปลี่ยนธุรกิจใหม่อีกครั้งหนึ่งรหัสมาขายส้มตำแทน

    เพราะการขายส้มตำนั้นสามารถทำได้คนเดียวอีกทั้งไม่ต้องเปลืองแรง และด้วยความที่เป็นคนชอบกินอยู่แล้วจึงค่อนข้างมั่นใจในทางด้านฝีมือของตัวเองเป็นอย่างมาก บวกกับประสบการณ์อาหารที่ทำมาอย่างมากมาย จึงทำให้เจ๊กรรณหันมาจับครกตำส้มตำจนเกิดกลายเป็นธุรกิจของเธอในปัจจุบันนี้

Sponsored Ad

    และด้วยความโชคดีที่มีลูกสาวทั้งสองคนเป็นคนดีทั้งสองไม่เคยนอกลู่นอกทางและใช้ของฟุ่มเฟือยมีกินมีใช้เท่าที่จำเป็นแถมยังช่วยเหลือแม่ตลอดเวลา

    โดยหลักการของเจ๊กรรณได้บอกว่า “เราทำอาหารให้ลูกค้า เหมือนทำให้คนในครอบครัวกิน” ที่ร้านจึงใช้วัตถุดิบอย่างดี ทุกอย่างถูกคัดมาด้วยความใส่ใจแบบสุดๆ มะนาวจะขึ้นราคาแค่ไหนก็จะต้องคัดเลือกลูกที่ดีที่สุด ซึ่งด้วยหลักการนี้จึงทำให้ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมร้านของเจ๊ถึงมีลูกค้ามากมายหลั่งไหลเข้ามารับประทานกันอย่างมากมายนั้นเอง

ข้อมูลและภาพจาก siamtodaynews

บทความที่คุณอาจสนใจ