พลังซิงเกิ้ลมัม! เลี้ยงลูก 2 คนลำพัง "สู้ด้วยสองมือ" จนกลายเป็นเศรษฐีนีรายได้ 600 ล้าน

คอมเมนต์:

สุดยอดมาก "พลังของแม่" ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใดจริงๆ!!

หมายเหตุ : สามารถรับชมคลิปเต็มได้ที่ด้านล่างบทความค่ะ 

    หลายคนอาจไม่รู้จักเธอ แต่จะบอกว่าเบื้องหลังเรื่องราวธุรกิจแบรนด์ที่เธอสร้างขึ้นนั้น แอดเชื่อว่าจะประทับใจและชื่นชมผู้หญิงคนนี้เป็นอย่างมาก

    สื่อต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ปี 2019 ที่ผ่านมาข่าวท้องถิ่นของฮ่องกงรายงานว่า ผู้ก่อตั้ง “เกี๊ยว Wanchai Ferry” (Wan Chai Ferry Peking Dumpling) ผู้ก่อตั้งแบรนด์เกี๊ยวจาง เจี้ยน เหอได้จากไปแล้ว ด้วยวัย 73 ปี

 

Sponsored Ad

 

    ผู้สืบทอดตำนาน “ราชินีเกี๊ยว" ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้หญิงนักธุรกิจสุดแกร่ง จาง เจี้ยน เหอ เรื่องราวชีวิตของเธอเป็นเรื่องราวที่อยากจะเข้าใจ และเป็นเรื่องที่ทำให้ต้องถอนหายใจยาวๆเลยที่เดียว

 

Sponsored Ad

 

    เธอเคยเป็นสะใภ้ที่แม่สามีไม่ชอบ เพราะไม่สามารถคลอดลูกชายให้ตระกูล ทำให้เธอยิ่งต้องแกร่งมากขึ้นและเลี้ยงดูลูกสาวทั้งสองคนเพียงลำพัง เริ่มจากขายของในตลาด จากนั้นดิ้นรนจนมีร้านเล็กๆของตนเอง และจนสุดท้ายสามารถสร้างแบรนด์สินค้าของตนเอง กลายเป็นธุรกิจระดับข้ามชาติ รายได้ต่อปีประมาณ 1.5 พันล้านหยวน กลายเป็นธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่แข็งแกร่งอีกบริษัทหนึ่ง ทำให้เธอกลายเป็นเศรษฐีนี

     คุณคิดว่าเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นได้ในจอทีวีเท่านั้นหรือ?

 

Sponsored Ad

 

    ไม่เลย!! นี้คือชีวิตจริงของเธอ จาง เจี้ยน เหอ เธอเป็นอีกหนึ่งผู้หญิงที่ถูกทอดทิ้ง ทำให้ต้องกลายเป็นซิงเกิ้ลมัมภายในพริบตา และเพราะสาเหตุนี้เองทำให้เธอต้องดิ้นรนสู้ชีวิตเพื่อเลี้ยงลูกสาวทั้งสองคน จนมีธุรกิจของตนเองขึ้นมาได้ หลายคนบอกว่าเธออาจจะโชคดี ลงทุนแล้วประสบความสำเร็จหรือเปล่า? ใครๆก็คิดว่าทางของเธอนั้นดูเหมือนจะง่ายดายมาก มีแต่คนรวยคอยช่วยเหลือ แต่ที่จริงคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเธอก็คือ “ตัวเธอเอง”

    โดนแม่สามีบ่นว่าทำไมยังไม่มีลูกชาย  ทำให้เธอรู้สึกอึดอันใจ มีเพียงอย่างเดียวคือนั่งเงียบเป็นภรรยาที่ดีของสามี แต่ความจริงที่โหดร้ายก็คือผู้หญิงที่ดีหลายคนไม่มีทางไป จนสุดท้ายเธอต้องเลือกที่จะพึ่งพาตนเองเช่นเดียวกับ จาง เจี้ยนเหอคนนี้

 

Sponsored Ad

 

    จางเจี้ยนเหอเกิดในปี 1945 ณ มณฑลซานตง เธอเป็นเด็กที่กตัญญูตั้งแต่เล็กรู้จักช่วยเหลือพ่อแม่ในสวนเก็บมันเทศ เก็บข้าวโพดเมื่อตอนอายุเพียง 5 ขวบ

    เมื่ออายุ 14 ปี เนื่องจากฐานะของครอบครัวยากจนมาก แม่ของเธอจึงได้พาเธอและพี่สาวหนีไปทำงานที่เกาะชิงเต่า เพื่อให้ได้เงินมากขึ้นแม่ยังคงต้องเย็บปักถักร้อยหลังเลิกงานทุกคืนจนถึงดึก ทำให้แม่เริ่มตาลายจนสายตาไม่ดีในที่สุด

 

Sponsored Ad

 

    เพื่อลดภาระให้กับครอบครัวจางเจี้ยนมีข้อเสนอริเริ่มที่จะแบ่งเบาภาระของแม่ ด้วยการตัดสินใจเลือกที่จะลาออกจากโรงเรียนเพื่อไปทำงานเป็นพยาบาลในโรงพยาบาลในฐานะผู้ดูแล

    ต่อมาจางเจี้ยนก็ได้รู้จักกับสามีชาวไทยเชื้อสายจีน จนทั้งคู่ตัดสินใจแต่งงานกันในที่สุดสามี และมีบุตรสาวด้วยกัน 2 คน
    แต่ทว่าความหวานของทั้งคู่ก็เดินต่อไปไม่ได้ยาว จู่ๆสามีของเธอก็อ้างว่าจะต้องกลับประเทศไทยสักพักและจะกลับมาอยู่กันพร้อมหน้า แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือสามีของเธอไปนานกว่า 3 ปี ก็ไม่มีวี่แววว่าจะกลับมาเลย

 

Sponsored Ad

 

    ในปีก 1977 กระทั่งเธออายุ 32 ปี เธอต้องลาออกจากงานประจำเพื่อไปประเทศไทยตามหาสามี ในตอนนั้นเธอเพิ่งกระจ่างว่าที่แท้สามีของเธอมีครอบครัวที่ประเทศอยู่ก่อนแล้ว

    อีกทั้งแม่สามีก็ยังรังเกียจเธอที่ไม่มีลูกชายให้ตระกูล จึงบอกให้สามีกลับไทยเพื่อหาภรรยาอีกคน เนื่องจากประเทศไทยมีกฏหมายให้มีภรรยาได้เพียงคนเดียว ทำให้เธอไม่ได้รับการจดทะเบียนในประเทศไทย

    แม่สามียังชี้หน้าด่าว่า “เธอมีแต่ลูกสาว ตระกูลนี้ต้องการลูกชาย”
    เมื่อจางเจี้ยนหันหน้าไปถามสามีแล้วพูดว่า “แต่เราแต่งงานกันในประเทศจีนแล้วนะ …..คุณจะเลือกฉันหรือผู้หญิงคนนั้น?”
    สามีได้แต่ก้มหน้า ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็กอดอกยืนยิ้มหัวเราะเยาะใส่เธอ

Sponsored Ad

    สุดท้ายจางเจี้ยนหันหลังให้สามีและแม่สามีพาลูกสาวทั้งสองเดินทางมายังฮ่องกง

    เพื่อลูกสาวทั้งสองของเธอ เธอต้องกัดฟันสู้ดิ้นรนทุกอย่างเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดไปได้ ผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างเธอ และยังต้องเลี้ยงดูลูกสาวอีก 2 คน เป็นภาระที่หนักหนามาก เธอเช่าห้องเล็กๆอาศัยอยู่ด้วยกัน 3 แม่ลูก 

    เธอไม่รู้ภาษาอังกฤษและภาษากวางตุ้ง ยิ่งทำให้หางานยากขึ้น เธอทำงานรับเงินค่าจ้างแบบรายวันที่โรงแรม

    ทุกๆวันตอน 8 โมงเช้าไปล้างจานที่ห้องครัวของห้องอาหาร,ล้างห้องน้ำ ตกดึก 6 -8 โมงไปเช็ดทำความสะอาดในโรงรถ พอถึง 11 โมงก็ไปโรงพยาบาลเพื่อเป็นพยาบาลดูแลผู้ป่วย ทุกวันได้นอนแค่ 3-4 ชั่วโมง

    อย่างไรก็ตามเนื่องจากเธอเหนื่อยล้าและเคยได้รับบาดเจ็บ ทำให้ร่างกายไม่สามารถทนต่อการทำงานหนักได้ เธอจึงเริ่มคิดถึงอนาคตที่ยาวไกล

    มีเพื่อนหลายคนแนะนำเธอให้ทำธุรกิจเล็กๆน้อยๆ โดยเริ่มวางแผงขายเกี๊ยวสูตรปักกิ่งที่ท่าเรือข้ามฟาก ในตอนแรกเธอยังไม่มีเงิน จึงซื้อแค่รถเข็นขายของ และนำไม้มากางทำหลังคายื่นออกมา
    ในวันแรกร้านเงียบมาก ไม่มีคนมากินมากมาย ทำให้เธอรู้สึกต่ำต้อย ยิ่งหันไปมองเห็นลูกทั้งสองยิ่งปวดใจ จากนั้นก็ปิดแก๊ส
ทันใดนั้นเองลูกสาวของเธอก็ตะโกนขึ้นมาว่า “เร่เข้ามาเร็ว เกี๊ยวที่อร่อยที่สุดในฮ่องกง” ไม่มีใครสอนลูกของเธอ แต่เป็นความคิดของเด็กๆเอง จากนั้นลูกสาวก็เต้นไปด้วยและเรียกลูกค้าไปด้วย

    กระทั่งใกล้ปิดร้าน มีนักเรียน 5 คนเดินมาซื้อคนละถ้วย เมื่อกินเสร็จก็พูดว่า “ว้าวรสชาติอร่อยมาก ขอเพิ่มอีกคนละถ้วย” พวกเขาขายแบบนี้ตลอดเรื่อยมาก หากมีตำรวจมาก็จะบอกให้แม่ไปซ่อนตัว
    แต่มีอยู่วันหนึ่งลูกสาวลืมดูตำรวจ เพราะมัวแต่เล่นกับสุนัขข้างทาง จนตำรวจเดินเข้ามาจับแม่ที่อยู่หลังร้าน ในตอนนั้นลูกสาวรีบวิ่งไปแล้วพูดกับตำรวจว่า “คุณลุง ปล่อยแม่หนูได้ไหม ไม่ใช่ความผิดของแม่ ความผิดของหนูเอง หนูไม่ได้ดูตำรวจดีดี” ในตอนนั้นตำรวจน้ำตาตกใน เมื่อเห็นสภาพแม่ลูกกอดกันร้องไห้ต่อหน้า

    แม้จะต้องเจออุปสรรคมากมาย แต่จางเจี้ยนก็ไม่เคยย่อท้อ เธอทำเกี๊ยวอย่างสะอาด ถูกอนามัย สดใหม่และคำใหญ่ รสชาติเยี่ยม จนกลายเป็นที่นิยมชมชอบของคนท้องถิ่นมากขึ้น
    จางเจี้ยนพยายามไปชิมเกี๊ยวของร้านในท้องถิ่นเพื่อค้นหาความแตกต่างและความชอบของคนฮ่องกง
    ต่อมาเกี๊ยวของจางเจี้ยนก็กลายเป็นที่นิยมมากขึ้น จึงมีคนตั้งชื่อให้เกี๊ยวของเธอว่า “เกี๊ยวท่าเรือข้ามฟาก” จากนั้นชื่อนี้ก็โด่งดังมากขึ้น

    และมีนักธุรกิจและเจ้าของห้างสรรพสินค้าชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง เนื่องจากลูกสาวชอบกินเกี๊ยวของจางเจี้ยนมาก จึงอยากให้จางเจี้ยนมาร่วมลงทุนสร้างแบรนด์ด้วยกัน แต่มีข้อแม้ให้ใช้วิธีการห่อแบบญี่ปุ่น และใช้ชื่อแบรนด์ของตนเอง
    แต่จางเจี้ยนไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าว เธออยากจะใช้ชื่อแบรนด์ของตนเอง และราคาขายส่งต้องไม่ต่ำกว่าชิ้นละ 12 บาท ซึ่งมากกว่าที่นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นเสนอ 1 บาท และเพราะการยืนหยัดของเธอ ทำให้นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นต้องยอมตกลงตามที่เธอเสนอ
    หลังจากนั้นจากร้านรถเข็นเล็กๆ ก็กลายเป็นสินค้าส่งออก มีแบรนด์ของตนเอง จากนั้นก็สร้างโรงงานของตนเอง ธุรกิจของเธอนับวันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ นั้นเป็นเพราะว่าคุณภาพเกี๊ยวของเธอดีมาก ปริมาณการผลิตเกี๊ยวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่หยุด
    ต่อมา จางเจี้ยนก็ได้ร่วมมือกับ Pillsbury Foods แบรนด์อเมริกัน ซึ่งมีอายุหนึ่งศตวรรษ แนะนำอุปกรณ์ที่ทันสมัยที่สุดในการสร้างฐานการผลิตเกี๊ยวที่ทันสมัยขนาด 1,200 ตารางเมตรในฮ่องกง

    จาง เจี้ยนเหอ ซึ่งมีอายุมากกว่า 70 ปีมีฐานการผลิตขนาดใหญ่ 15 แห่ง ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวขายให้กับ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ออสเตรเลีย อเมริกาเหนือและยุโรปปริมาณการส่งออกคิดเป็น 40% ของยอดขายต่อปี ซึ่งมีรายได้สูงถึง 600 ล้าน
    เธอกล่าวว่า: "ทัศนคติขณะที่เผชิญความยากลำบากของผู้หญิงคนหนึ่ง จะส่งผลกระทบต่อเด็กตลอดชีวิต ในฐานะแม่คนหนึ่งอยากให้ ผู้หญิงเราต้องมีจิตวิญญาณเล็กน้อย" เพราะจางเจี้ยนเหอเธอไม่เพียงถูกสามีทอดทิ้ง แถมยังมีลูกอีก 2 คน

    เธอกล่าวอีกว่า “สักวันหนึ่ง เกี๊ยวจะกลายเป็นอาหารยอดฮิตทั่วโลกเหมือน แมคโดนัลด์ พิซซ่า เป็นต้น”

    มีบางคนบอกว่ามีสินค้าบอกโลกนี้มี 2 วิธี หนึ่งคือ1.การพึ่งพาความพยายามของตนเอง 2.พึ่งพาความพยายามของคนอื่น อดีตจะทำให้คุณอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

    แม้ว่าเกี๊ยวของเธอจะไม่ใช่เกี๊ยวที่อร่อยที่สุด แต่จางเจี้ยนเหอก็ได้พยายามและยืนหยัดมาแล้วกว่า 40 ปี ก็เพื่อทำสิ่งหนึ่งนั้นคือ ทำให้ผู้คนได้กินเกี๊ยวที่ถูกปากท้องของตนเอง จิตวิญญาณและทัศนคติแบบนี้ทำให้ผู้คนประทับใจมิรู้ลืม
    ไม่ว่าคนภายนอกจะตำหนิเธออย่างไร แต่เธอย้ำว่า “ขอให้มีสติและจิตวิญญาณอยู่เสมอ เพราะฉันคือแม่” พลังของแม่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งปวง!!

    ชมคลิป

    คลิปเปิดไม่ออก >>>>> กดตรงนี้ คลิ๊ก !!!! <<<<<


ที่มา:lookforward

แปลและเรียบเรียงโดย Liekr

บทความที่คุณอาจสนใจ